จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2562

มะละกอทำเงิน 1 ไร่ ได้ 5 แสน






ส.ค.-ต.ค.ทุกปีมะละกอจะแพง เพราะเป็นช่วงที่ให้ผลผลิตน้อยตามธรรมชาติ ราคาหน้าสวนเบอร์เอ ปกติ กก.ละ 30-40 บาท แต่ปีนี้แพงที่สุดในรอบ 20 ปี รับซื้อกันที่45-50 บาท ราคาขายส่งตลาดไทขยับขึ้นไปถึง กก.ละ 70-80 บาท...สาเหตุหลักมาจากภัยแล้งเมื่อต้นปี
“มะละกอที่เก็บช่วง ส.ค.-ต.ค. ต้องออกดอกในช่วงแล้ง มี.ค.-เม.ย. เมื่อออกดอก ส่วนใหญ่จะร่วง ผลเลยติดน้อย อีกทั้งช่วงแล้งขาดน้ำในช่วงออกดอกและติดผล มะละกอที่เหลือรอดลูกเล็ก ผิวหยาบกระด้างเหี่ยวย่น เก็บได้ไม่นาน ตลาดไม่เอา ที่สำคัญช่วงแล้งยังทำให้ดอกมะละกอมีแต่เกสรตัวเมีย ไร้ตัวผู้ คนปลูกจึงไม่มีลูกให้ขาย”



แต่หากเกษตรกรวางแผนการผลิตที่ดี ธีรยุทธ มนตรี เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอ อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี บอกว่า... นี่คือโอกาสรับทรัพย์ของเกษตรกร 

จะทำให้มะละกอมีดอกผลในช่วงราคาแพงได้ ก่อนอื่นต้องวางแผนการผลิตให้ดี โดยต้องปรับเปลี่ยนการปลูกเป็นช่วง พ.ย.-ธ.ค. เพื่อให้ออกดอกในช่วง มี.ค.-เม.ย. และเก็บได้ช่วงราคาแพงคือ ส.ค.-ก.ย....ช่วงออกดอก อากาศร้อนมาก มักมีปัญหาดอกร่วงหรือไม่ออกดอก ฉะนั้นน้ำต้องถึง ความชื้นต้องสูง 

“เราต้องลดความร้อน และเพิ่มความชื้นในอากาศ โดยการติดตั้งสปริงเกอร์ในแปลง ให้มีระดับความสูงของสปริงเกอร์ในตำแหน่งที่มะละกอออกดอกติดผล หรือสูงประมาณ 1.5-2 เมตร เพราะต้องให้ดอกและผลชุ่มชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ขาดน้ำ”



สำหรับพื้นที่มีปัญหาน้ำน้อยหรือไม่สามารถหาน้ำในฤดูแล้งได้ ธีรยุทธ แนะนำให้เลื่อนเวลาปลูกมาเป็นช่วง ก.ย.-พ.ย. เพื่อให้ออกดอกในช่วงที่ไม่ร้อนเกินไป เพราะมะละกอจะเริ่มออกดอกหลังปลูกประมาณ 2-3 เดือน เก็บผลได้นาน 4-7 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่การดูแลให้ต้นสมบูรณ์แค่ไหน แม้ช่วงนี้ราคามะละกอจะไม่สูงมากนัก แต่เป็นวิธีที่ทำให้เรามีมะละกอออกจากสวนไปทำเงินได้บ้าง

ส่วนการเลี้ยงบำรุงเพื่อเสริมการออกดอกติดผล ธีรยุทธ ใช้วิธีให้ปุ๋ยทางดิน สูตรตัวท้ายสูง ร่วมกับฉีดพ่นปุ๋ยเกล็ดทางใบ สูตรตัวท้ายสูงเช่นกัน รวมทั้งให้ธาตุอาหารรองจำพวกแคลเซียม โบรอน เพื่อให้ดอกตัวเมียบานนานขึ้น มีโอกาสติดผลมากขึ้น



ถ้าทำได้อย่างนี้ มะละกอ 1 ไร่ ใช้เงินลงทุน 15,000-20,000 บาท ปลูก 8 เดือน เก็บผลผลิตได้เดือนละ 8 ครั้ง ครั้งละ 300 กก.นาน 8 เดือน...แค่นำออกมาขายในช่วง 3 เดือน (ส.ค.-ต.ค.) ที่ขายได้ กก.ละ 45 บ. เป็นเงิน 324,000 บาท นี่ยังไม่นับอีก 5 เดือน ที่เหลือ ขายได้ กก.ละ 15 บาท เป็นเงินอีก 180,000 บาท 

อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/730836

เพาะเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ทำรายได้นับหมื่นต่อเดือน



เพาะเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ทำรายได้นับหมื่นต่อเดือน

เพาะเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ทำรายได้นับหมื่นต่อเดือน

       เมื่อผู้หญิงยุคใหม่สนใจการเกษตร หันมาสนใจเลี้ยงกุ้งก้ามแดง ใช้ซอกเล็กๆ ของบ้านทำรายได้นับหมื่นบาทต่อเดือน ที่บ้านเลขที่ 24 หมู่ 3 ต.วังธง อ.เมือง จ.แพร่ นางฤทัยรัตน์ สุวรรณเจริญ อายุ 34 ปี เป็นพนักงานราชการประจำอยู่ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแพร่
          ฤทัยรัตน์กล่าวว่า ราวปี 2556 เริ่มรู้จักกุ้งก้ามแดงและตัดสินใจซื้อมาเลี้ยง 30 ตัว ตัวเมีย 20 ตัว ตัวผู้ 10 ตัว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ตายหมดทั้งบ่อ แต่ไม่ท้อซื้อมาเลี้ยงใหม่อีก 100 ตัว วิธีการเลี้ยงจากลองผิดลองถูก ศึกษาด้วยตัวเอง การเลี้ยงกุ้งก้ามแดงใช้ต้นทุนไม่สูง สามารถเลี้ยงได้ในอ่างเล็กๆ กะละมังซักผ้าที่ผสมปูนก็เลี้ยงได้ หรืออาจใช้บ่อซีเมนต์หรือใช้บ่อพลาสติก และถ้ามีที่มากๆ เป็นบ่อดิน ก็ยิ่งทำให้กุ้งเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
         กุ้งก้ามแดงกินสัตว์เป็นอาหาร ทำให้ต้องระวังไม่ให้กินกันเอง คือกุ้งต้องมีที่หลบซ่อนตัวอย่างเพียงพอเวลาลอกคราบ เพราะตัวจะอ่อนมาก อาจเป็นอาหารให้กับพวกกันเองได้ จึงต้องทำที่หลบมุมให้มากๆ ตัวเล็กก็ใช้ตาข่ายพลาสติกที่ทำมุ้งลวดหรือตู้กับข้าวเก่าๆ นำมาวางในน้ำให้เป็นที่หลบซ่อนตัว ส่วนกุ้งตัวใหญ่ใช้ท่อพีวีซีตามขนาดตัวตัดพอดีตัวใส่ไว้ในบ่อกุ้ง กุ้งจะเข้าไปหลบซ่อนเอง
         อาหารที่นิยมใช้กันคืออาหารเม็ด เพราะเป็นอาหารสำเร็จที่เหมาะสมกับทั้งสภาพน้ำและความสะดวกของผู้เลี้ยง แต่ที่ฟาร์มจะใช้อาหารเม็ดขนาดใหญ่ขนาดเดียว ถ้าเป็นตัวเล็กก็ใช้บดให้เล็กลง ส่วนอาหารที่ทำให้กุ้งเติบโตดีและต้องการมากในช่วงขยายพันธุ์คือไส้เดือน
         การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ เนื่องจากกุ้งก้ามแดงเป็นกุ้งน้ำจืด มีการผสมพันธุ์กันเองภายในบ่อ คือต้องใส่ตัวผู้ 20-30 เปอร์เซ็นต์ และกุ้งส่วนใหญ่เป็นตัวเมีย ช่วงที่กุ้งผสมพันธุ์สังเกตได้ว่าตัวผู้จะกินอาหารมากกว่าปกติ เมื่อเห็นกุ้งเริ่มอุ้มท้อง ลำตัวกุ้งตัวเมียจะงอรองรับไข่ใต้ท้องไว้ ควรแยกออกมาเลี้ยงต่างหาก รอให้กุ้งวางไข่ออกเป็นตัว แล้วจึงแยกพ่อแม่พันธุ์ออกภายใน 45 วัน ไข่กุ้งจะฟักเป็นตัว แม่หนึ่งให้ไข่มากถึง 800 ฟอง คัดแยกลูกกุ้งออกเลี้ยงในบ่ออนุบาล เลี้ยงด้วยอาหารเม็ดบด ตรวจสภาพน้ำทุก 15 วัน ลูกกุ้งจะได้มากน้อยขึ้นอยู่กับผู้เลี้ยงว่าสามารถดูแลได้ดี ไม่ให้กินกันเอง ไม่ให้น้ำเสีย สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญ
          การจำหน่ายกุ้งก้ามแดงสามารถจำหน่ายได้ตั้งแต่ฟักเป็นตัว เพราะตลาดมีความต้องการสูง แต่ที่ฟาร์มจะเลี้ยงลูกกุ้งไว้ 3-4 เดือน ให้มีขนาดใหญ่ 1.5 นิ้ว จะเริ่มจำหน่ายตัวละ 30 บาท ถ้ามีการบริหารจัดการที่ดีจะมีลูกกุ้งจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี โดยใช้พื้นที่เล็กๆ ซอกข้างบ้านก็สามารถทำได้ ปัจจุบันมีรายได้จากการจำหน่ายลูกกุ้งแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท เป้าหมายจริงๆ ต้องการเลี้ยงเป็นกุ้งเนื้อ ขนาด 20 ตัว 1 กิโลกรัม จำหน่ายกันที่กิโลกรัมละ 500 บาท ส่วนขนาดใหญ่มากๆ ร้านอาหารใหญ่ๆ ต้องการมากคือ 4 ตัว 1 กิโลกรัมราคาจะอยู่ที่ 1,000 บาท ใช้เวลาเลี้ยง 1 ปีเศษ การเพาะเลี้ยงจำหน่ายที่บ้านมีน้องๆ นักเรียนนักศึกษา ผู้สูงอายุ ซื้อไปเลี้ยงดูเล่นกัน ในที่สุดก็เติบโตออกลูกจำหน่ายได้ ทำรายได้เสริมได้เป็นอย่างดี
          กุ้งก้ามแดงเป็นชื่อที่คนไทยเรียกกัน แต่ชื่อของกุ้งชนิดนี้คือกุ้งเครย์ฟิช หรือกุ้งล็อปสเตอร์นั่นเอง ถือเป็นกุ้งที่เลิศรสยอดนิยมของคนทั่วโลกที่รู้จักกันเป็นอย่างดี โดยยังเป็นกุ้งที่มีรสชาติอร่อยที่สุดในกลุ่มกุ้งแม่น้ำด้วยกัน กุ้งชนิดนี้เข้ามาในเมืองไทยและทดลองเลี้ยงอยู่ที่โครงการหลวงดอยอินทนนท์ อ.จอมทองจ.เชียงใหม่ นานแล้ว เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความสำคัญและนำเข้ามาศึกษาเพาะเลี้ยงจนเกิดองค์ความรู้การเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ในเมืองไทย
จนปัจจุบันเริ่มแพร่หลายกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่คนไทยกำลังให้ความสนใจ
โดย สมโรจน์ สำราญชลารักษ์

ต้นรวงผึ้ง พรรณไม้หอมไทยแท้ประจำพระองค์ รัชกาลที่ 10




ต้นรวงผึ้ง
          มาทำความรู้จัก ต้นรวงผึ้ง ต้นไม้ไทยแท้ กลิ่นหอม ต้นไม้ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 กันค่ะ
 
          ต้นรวงผึ้ง ที่มีดอกสีเหลืองโดดเด่นและส่งกลิ่นหอม เป็นพรรณไม้ไทยแท้อันทรงคุณค่า เพราะเป็นต้นไม้ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก ต้นรวงผึ้ง ต้นไม้ประจำรัชกาลที่ 10 ให้มากขึ้น ทั้งวิธีปลูกต้นรวงผึ้งไปจนถึงสรรพคุณต้นรวงผึ้ง แล้วจะรู้ว่าต้นไม้ไทยต้นนี้น่าปลูกมาก ๆ เลยล่ะค่ะ 

1. ความสำคัญ
 
          ต้นรวงผึ้ง ถือว่าเป็นพรรณไม้อันทรงคุณค่าและมีเกียรติชนิดหนึ่ง ที่ถูกยกให้เป็นพรรณไม้ประจำ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เนื่องจากดอกรวงผึ้งจะผลิดอกออกใบในช่วงวันพระบรมราชสมภพพอดี ส่วนสีเหลืองของดอกรวงผึ้งยังเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพอีกด้วย นอกจากนี้พระองค์ยังทรงปลูกต้นรวงผึ้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่พระองค์เสด็จฯ ไปประกอบพระราชกรณียกิจ เพื่อพระราชทานไว้ให้เป็นตัวแทนแห่งพระองค์ท่านและเป็นสิริมงคลแก่ราษฎร
 
2. ลักษณะ
 
          โดยทั่วไปจะเรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า “ต้นรวงผึ้ง” แต่ถ้าหากได้ยินคนเรียก ต้นน้ำผึ้ง ต้นสายน้ำผึ้ง หรือดอกน้ำผึ้ง ก็ไม่ต้องสงสัยไป เพราะชื่อเหล่านี้เป็นชื่อเรียกของคนท้องถิ่นที่มักได้ยินกันบ่อยในแถบกรุงเทพฯ และภาคเหนือ ต้นรวงผึ้ง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Yellow star และชื่อวิทยาศาสตร์คือ Schoutenia glomerata King subsp.peregrina (Craib) Roekm. 
          ต้นรวงผึ้งจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ทนแดดและชอบขึ้นในที่แล้ง ลำต้นแตกกิ่งต่ำ ลักษณะลำต้นเป็นทรงพุ่มมน ออกใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ด้านหน้าใบจะเป็นเขียวและหลังใบเป็นสีน้ำตาลนวล ดอกรวงผึ้งส่งกลิ่นหอมตลอดทั้งวัน และมีสีเหลืองอร่ามดูโดดเด่น ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ ลักษณะดอกมีกลีบเลี้ยง 5 แฉกติดกับโคนกลีบและเป็นฐานรองกระจุกเกสรตัวผู้ ไม่มีกลีบดอก ดอกจะบานได้นาน 7-10 วัน ส่วนผลของต้นรวงผึ้งมีลักษณะเป็นทรงกลม ผลแห้ง และมีขน 
ต้นรวงผึ้ง
3. วิธีปลูกและวิธีการดูแล
 
          วิธีขยายพันธุ์ต้นรวงผึ้งที่นิยมมากที่สุดคือ การตอนกิ่ง ด้วยการควั่นกิ่งและลอกเปลือกออก จากนั้นนำดินเหนียวและกาบมะพร้าวชุบน้ำมาหุ้มแผลเอาไว้ ห่อด้วยแผ่นพลาสติกและมัดเชือกปิดมิด ดูแลรดน้ำตามปกติ อาจจะใช้ฮอร์โมนเร่งรากด้วยก็ได้ รอรากงอกออกมาภายใน 2-3 วัน จึงค่อยตัดไปปลูกลงในหลุมดินร่วน เพื่อให้ได้ผลดีแนะนำให้ปลูกในที่กลางแจ้ง เนื่องจากเป็นพืชที่ชอบแดดและทนแล้งได้ดี รดน้ำปานกลาง และปลูกไว้บริเวณแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน ต้นก็จะเจริญเติบโตออกดอกสวยงาม
 
4. ประโยชน์
 
          แม้จะไม่ใช่ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ แต่ก็ช่วยบังแดดและให้ร่มเงาได้ มีรูปลักษณ์และสีสันสวยงาม มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เพื่อปรับบรรยากาศให้สดชื่น นอกจากนี้ยังเป็นไม้มงคลที่เหมาะจะนำมาปลูกประดับสวนภายในบ้านและตามสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบ้านที่มีคนธาตุไฟ ต้นรวงผึ้งก็จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลให้มากยิ่งขึ้น
          
          หากใครที่กำลังมองหาไม้ยืนต้นหรือไม้ประดับเอาไว้จัดสวนอยู่ ก็ลองนำต้นไม้มงคลอย่างต้นรวงผึ้งไปพิจารณากันดูนะคะ รับรองได้เลยว่าทั้งรูปทรง กลิ่นหอม และความเป็นมงคลของต้นไม้ชนิดนี้ จะทำให้สวนของคุณดูพิเศษขึ้นมาทันที
ติดตามข่าว รัชกาลที่ 10 ทั้งหมด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก royalparkrajapruekKu และ Thaitreeflowers

วิธีการปลูกกล้วยหอมทอง ง่ายๆรายได้งาม



วิธีการปลูกกล้วยหอมทอง ง่ายๆรายได้งาม
การเตรียมหน่อกล้วยหอมทองสำหรับปลูกให้มีอัตรารอดสูง
การคัดเลือกหน่อพันธุ์ปลูก :
          เป็นสิ่งสำคัญต่อผลผลิตที่จะได้รับในอนาคตหน่อพันธุ์ที่อ่อนหรือแก่จนเกินไปจะทำให้กล้วยตกเครือไม่พร้อมกัน การเลือกหน่อพันธุ์ปลูก ควรเป็นหน่อใบแคบหรือหน่อดาบเป็นหน่ออ่อนที่มีใบอยู่ประมาณ 3-4 ใบ สังเกตุได้จากใบที่เรียวเล็ก หน่อลักษณะเช่น นี้มักจะเกิดอยู่กับโคนต้นเดิมและมีขนาดอวบสมบูรณ์เหมาะสำหรับที่จะเลือกไปเป็นหน่อพันธุ์ปลูกอย่างยิ่ง
วิธีการแยกหน่อกล้วย : 
          ขุดหน่อกล้วยโดยใช้ชะแลงเหล็ก ตัดหน่อให้แยกออกจากกอเดิมก่อนแล้วใช้จอบขุดให้รอบเพื่อให้รากขาด จากนั้นให้ใช้ชะแลงงัดหน่อกล้วยขึ้นมาวิธีนี้จะทำให้หน่อกล้วยที่ได้ไม่ช้ำและหลุดออกง่ายเมื่อขุดหน่อได้แล้วให้ใช้มีดคมๆ ปาดรากกล้วยที่ยาวออกให้เหลือรากติดเหง้ากล้วยประมาณ 1 นิ้วเป็นพอ
วิธีการปลูกกล้วยหอมทอง
ภาพ www.vigotech.co.th
ระยะปลูก : 
          ใช้ระยะปลูก 3 x 3 เมตร จะปลูกกล้วยได้ 177 ต้นในพื้นที่ 1 ไร่
การเตรียมดินปลูก : 
          ดินที่จะปลูกกล้วยหอมทองจะร่วนซุย ควรไถด้วยผานเจ็ด 2 ครั้งหรือจะใช้รถไถเดินตามไถครั้งแรก แล้วตากหน้าดินไว้ 7-10 วัน เพื่อกำจัดวัชพืชและศัตรูพืชที่ตกค้างอยู่ในดิน หากมีวัชพืชงอกขึ้นมาหลังจากนั้นให้ไถกลบอีกครั้งเพื่อเป็นการกำจัดวัชพืช ให้ลดน้อยลง ดินตรงไหนที่เป็นแอ่งควรปรับดินให้มีความลาดเทเพื่อป้องกันมิให้น้ำท่วมขังในช่วงหน้าฝน
ฤดูกาลปลูกที่เหมาะสม :
          ปกติกล้วยหอมทองจะปลูกได้ตลอดปี ถ้ามีน้ำ แต่ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกกันมากในช่วงต้นเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน
วิธีปลูกกล้วยหอมทอง :
         – หลังจากวัดระยะปลูกและปักหลักเรียบร้อยแล้ว
         – ขุดหลุมลึกประมาณ 50 ซม. หรือ1 ศอก กว้างประมาณ 1 ศอก
         – นำหน่อกล้วยที่ตัดรากออกลงหลุม แล้วกลบดินเหยียบดินให้แน่น เมื่อกลบดินได้ครึ่งหลุม เพื่อไม่ให้ต้นกล้วยโยกคลอนหลังจากนั้นกลบดินให้เต็มหลุมแต่ไม่ต้องกดดิน
         – นำเศษพืชมาคลุมโคนเพื่อรักษาความชื้น
การดูแลรักษากล้วยหอมทองให้ได้ผลผลิตดี 
การตัดใบกล้วยหลังจากปลูก :
          ถ้าเป็นหน่อใบแคบหลังจากปลูกแล้วไม่จำเป็นต้องตัดใบทิ้งแต่ถ้าเป็นหน่อที่เคยปาดเฉียงมาก่อนควรจะมีการปาดเฉียงลำต้นใหม่เพื่อที่กล้วยจะได้แตกใบใหม่ที่แข็งแรงขึ้น
การกำจัดวัชพืชในแปลงกล้วย :
          ถ้ามีการตัดหญ้าและพรวนดินในแปลงกล้วยตลอดเวลาจะทำให้ได้กล้วยเครือใหญ่ และจำนวนหวีมากขึ้น
การให้ปุ๋ยกล้วยหอมทอง : 
         ควรให้ทั้งปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีควบคู่กันไปทั้งสองอย่างปริมาณจะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของดินสำหรับปุ๋ยเคมีสูตรที่เหมาะสมสำหรับกล้วยหอมทองคือ 21-0-0 จำนวน ใช้ในอัตรา 50 กก.ต่อไร่ หรือจะใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 ในอัตรา 50 กก.ต่อไร่โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง
การให้น้ำกล้วยหอมทอง :
          การให้น้ำกล้วยหอมทองจะให้แค่พอชุ่ม ในช่วงที่ปลูกใหม่ ๆและขณะที่กล้วยหอมตั้งตัวและกำลังติดปลี ติดผลดีแล้วไม่จำเป็นต้องให้น้ำเป็นประจำทุกวันเหมือนพืชอื่น
การตัดแต่งหน่อและใบกล้วยหอมทอง :
          1. การแต่งหน่อกล้วยหากปลูกกล้วยต้นเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายนประมาณเดือนมิถุนายนกล้วยจะแตกหน่อตามขึ้นมาประมาณ 4-7 หน่อต่อกอเมื่อหน่อตามมีใบคลี่แล้ว ควรทำการปาดยอดทิ้ง โดยปาดในแนวเฉียงขึ้นกะความยาวของหน่อที่จะเหลือไว้หลังจากปาดให้สูงจากพื้นดินขึ้นมาประมาณ 20 นิ้วจากนั้นทำการปาดหน่อให้เฉียงกลับด้าน(ทิศตรงข้ามกับการปาดครั้งแรก) ทุกๆ 15 วันจะทำให้โคนหน่อกล้วยขยายใหญ่ขึ้นเหมาะที่จะนำไปปลูก
          2. การตัดแต่งใบกล้วยขณะที่มีการแต่งหน่อ ควรทำการตัดแต่งใบกล้วยควบคู่ไปด้วยและควรตัดแต่งใบกล้วยไปจนกว่ากล้วยจะตกเครือ การตัดให้เหลือใบกล้วยไว้กับต้น 10-20 ใบต่อต้น ตัดด้วยมีดขอให้ชิดต้นกล้วยอย่าให้เหลือก้านกล้วยยื่นยาวออกมาเพราะส่วนที่เหลือยื่นยาวไว้นั้นจะเหี่ยวแล้วรัดลำต้นทำให้ลำต้นส่วนกลางขยายได้ไม่มากเท่าที่ควร
ระยะเวลาในการให้ผลผลิตของกล้วยหอมทอง
ประมาณ 10 เดือนหลังปลูก :
          กล้วยจะเริ่มแทงปลีออกมา *การที่กล้วยจะออกปลีช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของหน่อกล้วยว่ามีความแข็งแรงสมบูรณ์ดีหรือไม่ รวมทั้งการดูแลรักษาเมื่อกล้วยแทงปลีจนสุด(กล้วยหวีตีนเต่าโผล่กล้วยตีนเต่าหมายถึงกล้วยหวีสุดท้ายที่มีลักษณะไม่สมบูรณ์) ให้ตัดปลีทิ้ง หรือจะตัดปลีหลังจากปลีโผล่มาประมาณ 10-12 วันถ้าไม่มีการตัดปลีกล้วยทิ้งผลกล้วยจะเจริญเติบโตไม่เต็มที่
 
หลังจากตัดปลีประมาณ 90-110 วัน :
          กล้วยจะแก่พอดี สามารถสังเกตได้จากกล้วย หวีสุดท้ายจะเริ่มกลมสีที่ผลจางลงกว่าเดิม(สีเขียวอ่อน)ถ้าปล่อยให้กล้วยแก่คาต้นมากเกินไปจะสบกับปํญหาเรื่องเปลือกกล้วยที่แตกทำให้ผลผลิตเสียหาย

การตัดหน่อกล้วยสำหรับเลี้ยงไว้ในปีต่อไป
          หน่อกล้วยที่สมควรจะคัดไว้เป็นหน่อที่ให้ผลผลิตในปีต่อไปควรจะคัดหน่อกล้วยที่มีลักษณะ ดังนี้
          1. ควรเป็นหน่อใต้ดิน ลำต้นอวบอยู่ห่างจากโคนต้นแม่ประมาณ 10 นิ้ว
          2. ควรเหลือไว้ประมาณ 2 หน่อ ที่อยู่ตรงข้ามกัน
          3. ถ้าใช้ระยะปลูก 3 x 3 เมตร ควรคัดหน่อกล้วยอีกครั้งหนึ่งจาก 2 หน่อ ให้เหลือเพียงหน่อเดียวหรือเหลือไว้ไม่เกิน 2 หน่อ ซึ่งจะทำให้แปลงกล้วยทึบลำต้นจะสูงชะลูดและหักล้มได้ง่าย


ที่มา : www.rakbankerd.com

ภาพ : www.pritipbrand.com

วิธีปลูกดาวเรืองขาย กำไรเป็นแสน!!



ปลูกดาวเรืองขาย กำไรเป็นแสน!!

วิธีปลูกดาวเรือง
1.เตรียมกระถางใส่ดินลงไป และรดน้ำให้ดินชุ่มชื่นทิ้งไว้ 1 คืน
2.นำต้นกล้าที่มีอายุ 7-10 วัน ( นับจากวันเพาะเมล็ด ) โดยแยกต้นกล้าให้มีวัสดุเพาะ หรือดินหุ้มติดรากมาด้วย เพื่อป้องกันรากกระทบกระเทือน นำมาปลูกในแต่ละหลุม แต่ละกระถาง ที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม
3. รดน้ำดาวเรืองอย่างต่อเนื่อง  โดยสัปดาห์แรกควรรดน้ำเช้า – เย็น จากนั้น สัปดาห์ต่อไป รดน้ำเช้า หรือเย็นอย่างเดียวได้ค่ะ
4.เมื่อดาวเรืองอายุ 15 – 25 วัน ใส่ปุ๋ยลงไป และก็รอให้ต้นดาวเรืองออกดอก ก็สามารถตัดดอกไปใส่ในกระถางประดับบ้านให้สวยงามได้แล้วค่ะ
การปลูกต้นดาวเรืองนอกจากจะเสริมมงคลให้บ้านแล้ว ยังสามารถนำดอกมาประดับตกแต่งบ้านได้อีกด้วยนะคะ แถมได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ได้อีกด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : https://decor.mthai.com/garden/21988.html